ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

สุขสงบ

๑๔ ก.ค. ๒๕๖๑

สุขสงบ

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต


ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๖๑

วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) .หนองกวาง .โพธาราม .ราชบุรี


ถาม : เรื่องลังเลสงสัย

กราบนมัสการหลวงพ่อ

ลูกมีปัญหาการปฏิบัติภาวนาอยากรบกวนสอบถามดังนี้เจ้าค่ะ สืบเนื่องด้วยจากลูกได้เริ่มลงมือปฏิบัติภาวนามาเป็นเวลานานร่วม ๑๐ ปีแล้ว โดยในปีแรกก็ลงมือปฏิบัติภาวนาภายในหนึ่งเดือนแรก ได้เกิดอาการลมหายใจขาด ไม่รู้สึกว่าลมหายใจขาด ไม่รู้สึกว่ามีขาแขน แต่ยังได้ยินเสียง ลมพัดดังเจ้าค่ะ ในขณะนั้นรู้สึกตกใจมาก รีบควานหาตัวเอง รีบควานหาตัวของตน ตัวเอง เพราะกลัว สักพักก็กลับมามีแขนขา มีตัวตนเหมือนเดิมค่ะ (ภาวนาแนวยุบหนอ พองหนอ) และปฏิบัติแนวทางนี้เรื่อยมาเป็นเวลา ปี โดยไม่มีอะไรคืบหน้า 

จึงหันมาปฏิบัติภาวนาปฏิบัติพุทโธตามแนวทางของพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น ลูกเคยมาพักภาวนาที่วัดหลวงพ่อ ครั้งแล้วเจ้าค่ะ แต่ละครั้งจะอยู่ภาวนา วัน บางครั้ง วันเจ้าค่ะ และปฏิบัติภาวนาโดยบริกรรมพุทโธมาเป็นเวลา ปี โดยมีอุปสรรคในการภาวนา แต่ไม่กล้าสอบถามครูบาอาจารย์ อันเนื่องจากลูกอยู่ไกลวัด เป็นคนต่างจังหวัดค่ะ (จังหวัดขอนแก่น) ขอหลวงพ่อเมตตาตอบข้อสงสัย และชี้แนะแนวทางการปฏิบัติให้ลูกด้วยเจ้าค่ะ

. การบริกรรมพุทโธของลูก บางวันอึดอัด ภาวนาไม่ได้ กลั้นลมหายใจ กอดพุทโธแน่น เคร่งเครียดเจ้าค่ะ ลูกต้องแก้อย่างไร

. การบริกรรมพุทโธบางวันโปร่ง สบาย สติอยู่กับพุทโธได้ตลอดชั่วโมง ระลึกพุทโธได้โดยไม่เหนื่อยไม่อึดอัดเจ้าค่ะ อันนี้เกิดจากอะไรเจ้าคะ

. เนื่องจากลูกปฏิบัติภาวนาโดยบริกรรมพุทโธมานานมากแล้ว เป็นเวลา ปี แต่ยังไม่เคยมีอาการจิตรวมเลยเจ้าค่ะ ลูกต้องเปลี่ยนคำภาวนาหรือไม่เจ้าคะ

. การภาวนาตลอดเวลา ปี คือบริกรรมพุทโธโดยนึกในใจ พุทโธๆ ช่วงไหนภาวนาไม่ได้ ก็จะเปิดเทปฟังหลวงพ่อ แล้วค่อยบริกรรมพุทโธต่อไปจนครบ ชั่วโมง หรือบางวันก็ ชั่วโมงเจ้าค่ะ แบบนี้ลูกทำถูกหรือไม่เจ้าคะ

สุดท้ายนี้ขอเมตตา หลวงพ่อแก้ข้อสงสัยให้ลูกด้วยเจ้าค่ะ

หลวงพ่อ : นี่ข้อสงสัย ข้อ เนาะ คำว่า ข้อนี้อารัมภบท เห็นไหม 

ตอบ : เวลาปฏิบัติเริ่มต้นเขาปฏิบัติ เห็นไหม เขาบอก เขาปฏิบัติมานาน ๑๐ ปี ๑๐ ปี คำว่า๑๐ ปีขึ้นมาถ้านับเวลามันก็เนิ่นนานนะ แต่ถ้าพูดถึงกรรมฐานนะแป๊บเดียว เห็นไหม วันคืนล่วงไป ล่วงไป เดี๋ยวมืดเดี๋ยวแจ้ง เดี๋ยวมืดเดี๋ยวแจ้ง เดี๋ยวก็หมดไปวันหนึ่งๆ 

เขาภาวนามา ๑๐ ปี แต่เวลาเขาภาวนาปีแรก เดือนแรก ครั้งแรกโดยภาวนายุบหนอ พองหนอ เวลาภาวนาไปลมหายใจมันขาด ยุบหนอ พองหนอก็ตามลมหายใจ เวลาลมหายใจมันขาด เห็นไหม แขนขาหายไปเลย ด้วยความตกใจ ตกใจมาก รีบควานหาตัวเอง เห็นไหม แล้วกลับมาแนวทางยุบหนอ พองหนอต่อไป ปี 

คำว่า ปียุบหนอ พองหนอ เห็นไหม เขาดูลมหายใจของเขา ดูยุบดูพอง ดูยุบดูพอง แต่เวลามันขาดไป เวลาความรู้สึกมันขาดไปเหมือนแขนขามันหายไป แล้วตกใจมากพยายามควานหาแขนขาตัวเองขึ้นมา เวลาว่าแขนขาของตัวเองหายไปมันหายไปจากความรู้สึก เวลาความรู้สึกมันหายไปเลย แต่หายไปด้วยความตกใจ . ด้วยความตกใจ . ด้วยทฤษฎีความเชื่อ ความเชื่อของเขาถ้ายุบหนอ พองหนอด้วย อภิธรรมนี่ต้องรู้ตัวทั่วพร้อม ต้องรู้ตลอดเวลา มันจะขาดหายไป มันเกิดนิมิตไม่ได้สิ่งที่ว่ากำหนดพุทโธๆ ไอ้พวกทำสมถะมันเกิดนิมิต เกิดนิมิตมันจะมีความเสียหายด้วยทฤษฎีด้วยความเชื่อไง ว่าแขนขามันหายไป มันตกใจเลย 

แต่ถ้ามันพูดภาวนาพุทโธๆ เห็นไหม ถ้าสิ่งที่มันจะหายไป อะไรมันจะหายไป ลมหายใจมันจะหาย ตัวมันจะหาย อะไรมันจะหายไป หายไปถ้าสติเราพร้อม หายไปก็หายไปแต่ตัวกูอยู่นี่ถ้าสิ่งต่างๆ ที่หายไปแต่สติยังอยู่ สติยังอยู่แต่หายไปไม่มีความหมาย ไม่เกี่ยวกัน ความว่าหายไป มันอายตนะไง ความรับรู้ ความรับรู้ผ่านตา หู จมูก ลิ้น กาย ตา หู จมูก ลิ้น กาย มันก็เป็นตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่เพราะว่าเราไปรับรู้ แต่ถ้าเราปล่อยวางเข้ามา เห็นไหม เหมือนกับมันหายไป ถ้ามันหายไปถ้าสติมันยังมีอยู่ จิตยังมีอยู่ไอ้นั่นไม่เสียหาย หายก็คือหาย เวลามันหายไปส่วนมันหายไป 

แต่ถ้ามันด้วยทฤษฎีว่า มันหายไปด้วยความตกใจ ความตกใจ ความกลัว เห็นไหม แล้วกลับมาทำอีก ปีไม่ได้เรื่องอะไรเลย เพราะทฤษฎีความเชื่อ ความเชื่อว่าหายไม่ได้ ความเชื่อว่ามันต้องสมบูรณ์ ถ้าหายไปมันจะตกเหวตกบ่อ มันจะเสียชีวิต ความตกใจของมันไง แต่ถ้าเป็นความจริง ความหายไปนั่นคือผลของการปฏิบัติ ถ้ามันจะหายไปโดยมีสตินะเวลามันหายไป 

เดี๋ยวจะไปอธิบายตอนจิตรวม เขาพยายามจะถามจิตรวม จิตรวมมันไม่ต้องจิตรวมหรอก การภาวนาของพวกเรานะ ไอ้การว่าจิตรวม เวลาหลวงตาท่านมาที่โพธาราม ท่านพูด ท่านพูดเรื่องจิตรวม ว่า จิตมันรวม เห็นไหม อัปปนาสมาธิ ถ้าจิตรวมเป็นอัปปนาสมาธิ มันสักแต่ว่า ความรู้ไม่ปรากฏ แต่ว่าไม่ปรากฏมันก็ไม่ใช่ เลยเป็นคำว่าสักแต่ว่าปรากฏ ความรับรู้มันปรากฏ มันสักแต่ว่า นั่นน่ะจิตรวม จิตรวมคืออัปปนาสมาธิ

เมื่อก่อนเขาบอกว่าเข้าอัปปนาสมาธิแล้วเกิดปัญญาเองมันเกิดปัญญาไม่ได้ เพราะถ้าจิตมันรวมไปแล้ว มันรวมเป็นสักแต่ว่า มันปล่อยวางอายตนะ ปล่อยวางกายทั้งหมด แต่ถ้าเป็นอุปจาระ จิตเป็นสมาธิ อุปจาระมีรอบ วงรอบของความรู้ ความรู้รับรู้สิ่งกระทบได้ ปัญญาจะเกิดตรงนั้น จะเกิดตรงนั้นนะ แต่! แต่จะเกิดตรงนั้นต้องทำให้ถูกต้อง ทำให้จิตสงบแล้วจะเห็นสติปัฏฐาน ตามความเป็นจริง มันถึงจะเกิด ถ้าไม่เห็นสติปัฏฐาน ตามความเป็นจริง มันก็เป็นอุปาทาน เป็นความคิดของตนเอง มันก็ไม่เกิด คนภาวนาคิดว่ามันเกิด คิดว่ามันใช่ แต่ความจริงคือมันไม่ใช่ 

แต่ความจริงถ้าเวลาความจริงแล้วมันจะใช่ มันใช่ตามข้อเท็จจริง มันใช่โดยมรรค แต่ไอ้คนภาวนาบอกว่าไม่ใช่ เพราะภาวนาไม่เป็น เวลามันจะเป็นความจริง ส้มหล่นไง มันเป็นโดยข้อเท็จจริงเลย ใช่ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เลย ชัดๆ เลย แต่ไอ้คนภาวนามันงงนะ เอ๊ะ! มันคืออะไร มันกลับไม่ใช่ แต่เวลาไอ้ตัวมันเองไม่ใช่ ไม่ใช่ มันเป็นเรื่องโลกไง โลกียปัญญาปัญญาโดยความคิดของเรา ปัญญาโดยการภาวนาของเรา แต่มันยังไม่เป็นข้อเท็จจริงไง เห็นไหม มันไม่ใช่ตามข้อเท็จจริง แต่! แต่มันใช่แบบเราคิดไง คำว่าใช่ของเราคือมันเป็นสัญญา มันเป็นปรัชญา มันเป็นความคิด นั่นน่ะไม่ใช่ แต่มันว่าใช่ ว่าใช่ เพราะอะไร เพราะเรามีสติปัญญาคิดโดยเราไง ทุกคนเชื่อมั่นตัวเองมากว่าตัวเองทำถูก แต่ความจริงมันผิด 

แต่เวลามันจะถูก เห็นไหม เวลาจิตมันจะรวมแขนขามันหายไป ความหายไปอย่างนั้นถ้าหายไปอย่างนั้นมันอีกเรื่องหนึ่ง แต่เพราะความตกใจของเราต่างๆ ไอ้กรณีนี้มันอีกเรื่องหนึ่งนะ นี่พูดถึงว่าการภาวนามา ๑๐ ปี การภาวนามา ๑๐ ปี เราจะบอกว่า การภาวนาของเรานะ เราภาวนาเพื่อให้เราเป็นคนดี เราหัดภาวนาให้เป็นคนดี เราอยู่กับศีลอยู่กับธรรม อยู่กับสติอยู่กับปัญญาของเรา เห็นไหม เราก็เป็นคนดี คนดีคนหนึ่ง เรามีอาชีพอะไร มีหน้าที่การงานอย่างไร เราก็ทำตามอาชีพนั้น ทำด้วยความสุจริต ทำให้ถูกต้องดีงามของเรา 

แล้วถ้ามันเจริญงอกงาม ใครมีอาชีพสิ่งใด ประสบความสำเร็จในชีวิตนั้น ในอาชีพนั้น ว่าสิ่งนั้น ว่าเราทำคุณงามความดีของเรา ถ้าเราทำคุณงามความดีของเรา เราก็ทำอาชีพตามหน้าที่ การงานของเรานั่นแหละ แต่ว่าในที่ทำงานของเรามันมีความขัดแย้ง มันมีการกระทบกระเทือนกัน นั้นมันก็เป็นกรรมของสัตว์ ถ้าเป็นกรรมของสัตว์ เรามีสติปัญญาของเรา เราเป็นคนดีของเรา เราก็ยึดมั่นสติปัญญาของเราให้เท่าทันกับสิ่งกระทบในที่ทำงานนั้น ถ้าสิ่งที่กระทบในที่ทำงานนั้น ในที่ทำงานนั้นมันจะร้อน มันจะเดือดเป็นไฟเลยนะ แต่เราก็มีสติปัญญารักษาตัวเราได้

แต่ถ้าเราไม่มีศีลมีธรรม เห็นไหม ในที่ทำงานนั้นมันจะร้อน แล้วเราไม่มีสติปัญญาเท่าทันกับสติปัญญาของเรา เห็นไหม จิตใจของเราก็จะร้อนไปด้วย เห็นไหม ถ้าเป็นคนดี คุณธรรม ธรรมโอสถมันสามารถเจือจาน มันสามารถรักษาหัวใจของเราไง นี่ทำดีๆ บอกทำมา ๑๐ ปี ไม่เห็นได้อะไร ทำมา ๑๐ ปี ทำมาตั้งนานไม่เห็นผลอะไรทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว การทำความดีของเรา เรามีสติปัญญาของเรา รักษาตัวเราเองรอดมาได้จนปัจจุบันนี้ เรายังเป็นคนดีอยู่ เรายังมีหลักการอยู่ยึดมั่นในศีลในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วถ้ามันประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นผลงานของเรา

เห็นไหม เวลาเราเชื่อมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราเชื่อมั่นในสัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเชื่อมั่นในศีล ในสมาธิ ในปัญญา แล้วเราภาวนาฝึกหัดๆ เราภาวนาฝึกหัด ศีล สมาธิ ปัญญา ให้มันเกิดขึ้นกับเรา ให้มันเกิดขึ้นกับจิตของเรา นี่เราพยายามฝึกหัด ฝึกหัดของเรา การกระทำแบบนี้เราฝึกหัดหัวใจของเราให้เป็นคนดี ถ้าเป็นคนดี เห็นไหม ทำดีเพื่อความสุขสงบในใจของเราๆ นี่คือผลงานที่ได้ 

แต่ผู้ที่เขาได้มรรคได้ผล ได้มรรคได้ผลนั้นเป็นครูบา-อาจารย์ของเรา ครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติ ท่านได้มรรคได้ผลของท่าน ได้มรรคได้ผลของท่านด้วยบุญกุศล ด้วยการกระทำที่เป็นสัจจะเป็นความจริงของท่าน เพราะ เพราะพระปฏิบัติเขาปฏิบัติกัน ๒๔ ชั่วโมง เขาปฏิบัติกันมา เห็นไหม ตั้งแต่สามเณรน้อยเขาปฏิบัติมายาวนานขนาดนั้น ถ้าครูบา-อาจารย์ของเราท่านเป็นจริง ท่านได้มรรคได้ผลตามเป็นจริง เราก็สาธุ

แต่ถ้าเราปฏิบัติ ปฏิบัติ ถ้าเราได้มรรคได้ผลตามความเป็นจริงของเรา มันเป็นความมหัศจรรย์ในใจของเรา เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา ทำดีมาต้องได้ความดี ทำชั่วมาก็ได้ผลชั่วของเขา ถ้าเราทำคุณงามความดีจนความดีของเราแจ่มแจ้ง ความดีของเราจนเป็นความจริง อันนั้นมันจะเป็นสัจธรรมในใจของเรา ถ้ามันเป็นความจริงไง 

เราจะบอกว่าเวลาปฏิบัติ ๑๐ ปี ๒๐ ปี เห็นไหม เหมือนถ้าคนปฏิบัติแล้วส่วนใหญ่จะแบบว่ารู้สึกว่ามันกดดันโอ๋! ชีวิตนี้เหมือนไม่ได้อะไรเลย ชีวิตนี้มีแต่ความทุกข์ความยากมันได้อยู่แล้ว ได้การรักษาชีวิตเราให้อยู่ในศีลในธรรม แล้วถ้ามันได้มรรคได้ผล เราจะบอกว่า จริงๆ นะ ในสังคมในวงปฏิบัติในประเทศไทย ที่ว่าปฏิบัติแล้วได้มรรคได้ผล เราไม่เชื่อนะ เราไม่เชื่อหรอก มึงปฏิบัติกันสัพเพเหระอย่างนั้น แล้วได้มรรคได้ผล เป็นไปไม่ได้ ปฏิบัติกันตามกระแสสังคม เป็นมรรคเป็นผลขึ้นมา กูไม่เชื่อ

แต่ถ้าปฏิบัติแบบครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม ไม่ตามกระแสสังคม ที่ปฏิบัติกันเนี่ย ปฏิบัติตามกระแสสังคม ตามกระแส ไปตามกระแสมันจะได้มรรคได้ผลอย่างไร แล้วถ้าไปตามกระแสอย่างนั้น แล้วเวลาพูดอย่างนั้น ทิ่มตำกัน ปฏิบัติอย่างพวกมึงน่ะไม่ได้ อย่างของกูน่ะได้ เวลาตามกระแสแล้วก็พยายามเหยียบย่ำ เหยียบย่ำทำลายกันว่าอีกฝ่ายหนึ่งไม่ใช่ อีกฝ่ายหนึ่งใช่ แล้วฝ่ายที่ใช่ก็เข้าไปยอมจำนนกับเขาว่าใช่ ถ้าแยกตัวเป็นอิสระแล้วไม่ใช่ ไอ้นั่นตามกระแส จะบอกว่าที่ปฏิบัติแล้วได้มรรคได้ผล ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ ไม่เชื่อหรอก 

ถ้าเชื่อนะ ใครปฏิบัติ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมนะ เราขอธมฺมสากจฺฉา คือสนทนาธรรมตรวจสอบกันได้ ถ้าได้คุยได้ตรวจสอบกันแล้วเชื่อ เช่น หลวงตาท่านพูด ท่านได้คุยด้วย ประสาเรานะ ได้สอบทาน ถ้าได้สอบทานกันแล้วถึงเชื่อ ลูกศิษย์หลวงปู่มั่น เจ้าคุณจูม ธรรมเจดีย์ ท่านนิมนต์ให้หลวงตาได้คุยกับหลวงปู่ขาว หลวงตาท่านได้ขึ้นไปหาหลวงปู่แหวน ได้ไปสนทนาธรรมกับหลวงปู่แหวน หลวงปู่คำดี เห็นไหม ท่านนิมนต์หลวงตาขึ้นไปคุยสนทนาธรรมกับท่าน หลวงปู่ขาวท่านได้สนทนาธรรมกับพระมหาบัว 

นี่เวลาท่านคุยกันๆ ธมฺมสากจฺฉา ถ้าได้คุยกันแล้ว ได้สอบทานกันแล้ว ใช่ก็คือใช่ แต่ถ้าเป็นกระแสสังคมไม่เชื่อ ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ ไม่เชื่อแน่นอน ฉะนั้น คำว่าไม่เชื่อนี่พูดนี้ไม่ใช่ดูถูกเหยียดหยามใครทั้งสิ้น แต่พูดเพื่อให้นักปฏิบัติของเราที่ปฏิบัติมา ๑๐ ปี ๒๐ ปี ๓๐ ปี หรือปฏิบัติทั้งชีวิต อย่าให้ใครมาเหยียดหยาม อย่าให้ใครมาดูถูกดูแคลนว่าผู้ที่ปฏิบัติ ปฏิบัติเสียเปล่า การปฏิบัติจะเสียเปล่าไปได้อย่างไร การลงทุนลงแรงมันเสียเปล่าไปได้อย่างไร การเดินจงกรม การนั่งสมาธิภาวนา มันจะสูญเปล่าเรอะ มันจะไม่มีผลใดตอบแทนเลยใช่ไหม การนั่งสมาธิการภาวนาคือการปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้า 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกกับพระอานนท์ไง อานนท์ เธอบอกเขานะ ให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด อย่าบูชาเราด้วยอามิสเลย สิ่งที่บูชาด้วยดอกไม้ธูปเทียน ข้าวปลาอาหาร เป็นอามิสทั้งนั้น แต่ถ้าเรานั่งสมาธิ เดินจงกรม บูชาองค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สั่งพระอานนท์ไว้ไง ให้บอกบริษัท นะ ให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด ให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด แล้วเราก็ปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันจะไม่ได้บุญกุศลไปตรงไหน บุญกุศลสมบูรณ์แบบ 

แต่ไอ้เรื่องมรรคผลๆ มันเป็นธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ มันอยู่ที่เหตุผล เหตุของคนที่ประพฤติปฏิบัติแล้วได้ผลตามความเป็นจริงนั้น นั่นถ้ามันได้ผลนั้นก็สาธุ ด้วยอำนาจวาสนาของเขา ด้วยเข็มมุ่งของเขา ด้วยความปฏิบัติของเขา ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม นั้นเราก็สาธุ แต่ถ้าเราสาธุแล้วถ้าได้ตรวจสอบด้วย ธมฺมสากจฺฉา เราถึงจะเชื่อกัน เราไม่เชื่อข่าวลือ เราไม่เชื่อกระแสสังคม ไม่เชื่อ กาลามสูตร พระพุทธเจ้าไม่ให้เชื่ออยู่แล้ว ไม่เชื่อ แต่ต้องปฏิบัติบูชาๆ

นี่ก็เหมือนกัน เราจะปฏิบัติ เขาบอกเขาปฏิบัติมา ๑๐ ปี คนปฏิบัติทั้งชีวิต แล้วก็มาภาษาเรานะ ก็มาตีโพยตีพายว่าเราไม่เห็นได้อะไรเลย ก็ได้ชีวิตนี้มาไง ได้ชีวิตที่สุขอุดมสมบูรณ์แล้วนี่ไงชีวิตที่เรามีสติ เรามีศีล ศีลธรรมคุ้มครองชีวิตเราไง มันจะไม่ได้อะไรล่ะ ถ้ามันไม่มีสติ ไม่มีศีลของเรา เราก็ทำแต่บาปกรรมอกุศลน่ะสิ เรามีสติเรามีศีลไม่ได้ตรงไหน นี่ได้แล้ว ได้สมบูรณ์แบบ ได้เต็มที่เลย แล้วเราปฏิบัติไป ถ้าปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมมันก็จะเป็นผลของเรา นี่พูดถึงผู้ปฏิบัตินะ 

นี่เขาบอกว่า เขาปฏิบัติไปแล้ว แขนขามันหายไป มาปฏิบัติ เวลาพุทโธๆๆ แล้วนี่มันไม่เห็นได้ผลเลย อย่างเช่นคำถามข้อที่ . การบริกรรมพุทโธของลูกบางวันก็อึดอัดภาวนาไม่ได้ กลั้นลมหายใจ กอดพุทโธไว้แน่น เครียด เคร่งเครียดเจ้าค่ะ แล้วต้องแก้อย่างไร” 

เวลาถ้ามันเคร่งเครียด เห็นไหม เราก็หายใจลึกๆ แล้วปล่อยวางหมดเลย แล้วก็พุทโธใหม่ เราพูดไว้เอง เห็นไหม ให้กอดพุทโธไว้ ถ้าพูดถึงเวลามันทุกข์มันยาก มันอึดอัด เห็นไหม เวลากลั้นลมหายใจจนเวลามันอึดอัดภาวนาไม่ได้ กลั้นลมหายใจไว้ เราก็พยายามพุทโธมันเคร่งเครียดมากเคร่งเครียดมากเพราะอะไรรู้ไหม เคร่งเครียดมาก ดูสิ ขณะนั้นกิเลสมันฟูขึ้นมา กิเลสมันฟูขึ้นมาคือกิเลสมันอยากแสดงตัวมันเต็มที่ แล้วเราก็พยายามพุทโธอยู่ มันก็จะอึดอัดขัดข้องทั้งนั้น 

เวลาอึดอัดขัดข้อง เห็นไหม เวลาหลวงตาท่านพูดนะ เวลาพระเวลาจะทำสิ่งใดที่ไม่ถูกต้อง ท่านบอกว่าอย่าให้มีหนึ่ง ถ้ามีหนึ่งจะมีสอง มีสองก็มีสาม เวลาถ้ามีหนึ่ง มีหนึ่งนี่ถ้าเรานั่งกันอยู่นี่ปัจจุบันเหมือนพระเลยนะ พระในหนึ่งปี เห็นไหม เดือนที่ไม่ได้เข้าพรรษา พระจะอยู่กันสุขสบาย แต่พออธิษฐานพรรษาผัวะ อึดอัดไปหมดเลย ไปไหนก็ไม่ได้ ในพรรษานี้ไปไหนไม่ได้ พระไปค้างแรมที่ไหนไม่ได้ จะไปได้ด้วยสัตตาหกรณียะเวลามีความจำเป็นเท่านั้น โอ๋ย! พระนี่อึดอัดหมดเลย 

เวลาออกพรรษานะ ปวารณาออกพรรษาแล้วโล่งหมดเลย มันก็วันคืนเหมือนเดิม มันก็ไม่มีสิ่งใดแปลกเหมือนวันอื่น แต่พอมันมีกติกาขึ้นมา โอ๋ย! มันอึดอัดทันทีเลยนะ เวลามันออกพรรษาโล่งอกหมดเลย ให้ไปไหนก็ไม่ได้ไปก็อยู่วัดอย่างนั้น มันก็ไม่ได้ไปไหนนะ แต่รู้สึกมันโล่งอก มันสบายใจ เพราะมันจะไปไหนก็ได้ 

แต่ถ้าในพรรษา แหม! แหม! อึดอัดๆ เลย มีขอบมีเขตมีสิ่งใดแล้วกิเลสมันโดนขีดมันมีขอบเขตของมัน มันอึดอัดไปหมดล่ะ แต่ถ้าปล่อยมันสบายๆ นะ มันก็เหมือนเดิมนั่นน่ะ วันคืนล่วงไปๆ วันเวลาผ่านไป วันคืนผ่านไป ก็ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นมาเลย แต่พอมันจะมาพุทโธๆ นี่แหม! มันอึดอัด ยุ่งยาก แล้วถ้าไม่พุทโธเอ็งก็นั่งอยู่นั่นน่ะ นั่งคุยกันทั้งวันเลย เวลานั่งคุยกันทั้งวัน คุย สนุกครึกครื้นเลย พอให้นั่งสมาธิ ๑๕ นาที มันจะตาย อึดอัดตายห่าเลย

เหมือนกัน นี่เขาถามว่า เห็นไหมข้อที่ . การบริกรรมพุทโธบางวันอึดอัดมาก ต้องกลั้นลมหายใจไว้เวลามันอึดอัด เห็นไหม นั่นน่ะสิ่งที่มันขับดันออกมาจากใจ กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันขับดันออกมาจากใจ แล้วเวลามันอึดอัด เห็นไหม บอกว่าไป! เราไปสำมะเลเทเมาเลยนั่นน่ะถ้าอารมณ์อย่างนั้นลองเอาแต่สิ่งที่ชั่วร้ายให้มันนะเข้าทันทีเลย แต่คนเราพุทโธๆ ไปกางกั้นมันไง เอาพุทโธ เอาพุทธานุสติ เอาการระลึกถึงคำบริกรรมพุทโธ สิ่งที่มันจะไปโดยความสะดวกของมัน มันโดนกางกั้นไว้ด้วยพุทโธ มันอึดอัดขัดข้อง มันอึดอัด เห็นไหม ใจจะขาดเชอะ บอกว่ากอดพุทโธไว้ใจจะขาดเชอะ นี่มันอึดอัดมาก ไอ้นั่นมันคืออะไร ก็คือกิเลสไง

กิเลส เห็นไหม มันเหมือน เห็นไหม เราต้มน้ำ อุณหภูมิถึงน้ำก็เดือด พอยกลงมาเดี๋ยวน้ำก็เย็น นี่ก็เหมือนกัน อารมณ์ของคนก็เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาอยู่ที่อุณหภูมิ นี่ก็เหมือนกัน จิตใจของคนเดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ร้าย ถ้าเดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ร้าย เวลามันดีมันก็ดีมาก อย่างข้อที่ . ดีมากเลย เวลาข้อแรก เห็นไหม มันเดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ร้าย กลางคืน กลางวัน กลางวันเป็นอย่างหนึ่ง กลางคืนเป็นอย่างหนึ่ง สัตว์หากินกลางคืนเขาก็หากินกลางคืน สัตว์หากินกลางวันเขาก็หากินกลางวัน

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าอารมณ์มันดีมันก็ดี อารมณ์มันดีมันก็เป็นธรรมใช่ไหม พอเป็นธรรมก็ราบรื่นไปหมด เวลามันเป็นกิเลส เวลาเป็นกิเลสมันก็อึดอัดขัดข้องอย่างนี้ ถ้ามันเป็นกิเลสมันอึดอัดขัดข้องอย่างนี้ เราก็แก้ไขของเราด้วยคำบริกรรมพุทโธไว้ ไม่ปล่อยให้มันไป ถ้ามันอึดอัดขัดข้องนะ เวลาเราปล่อยใจตามมันเลย เดี๋ยวเถอะเดี๋ยวข้างหน้านะจะอึดอัดทั้งวันเลย มันไม่มีดี อึดอัดตลอด เพราะอึดอัดปล่อยทุกทีไง ถ้าอึดอัดแล้วมันก็ปล่อยไหลไปเลย อึดอัดก็ปล่อยไหลไปเลย มันก็จะอึดอัดตลอดไป แต่พออึดอัดเอาพุทโธกันไว้ พุทโธกันไว้ ยันมันไว้ สู้มันไว้ แล้วถ้าอึดอัดต้องหายไป

ประสาว่าเราเป็นผู้ชนะ เป็นผู้ชนะหมายความว่าเราสามารถควบคุมดูแลหัวใจของเราได้ กลางคืนก็เป็นของเรา กลางวันก็เป็นของเรา จะเป็นกลางคืนจะเป็นกลางวันเราควบคุมได้หมด มันก็ผ่านพ้นไป ไอ้นี่ถ้ากลางคืนเป็นของเขา กลางวันเป็นของเรา เห็นไหม ถ้ากลางวันถ้ามันดีมันก็เป็นของเราไง ถ้ามันไม่ดีก็เป็นของเขาไง มันก็มีกลางวันกลางคืนใช่ไหม แต่ถ้าเราทำคุณงามความดีของเรา กลางคืนก็คือของเรา กลางวันก็ของเรา ของเราหมดเลย ถ้ามันอึดอัดก็สู้มัน สู้มันจนกว่าเราจะควบคุมได้ แก้ไขได้ มันก็ต้องผ่านไปได้ นี่ข้อที่ .

. การบริกรรม บางวันมันปลอดโปร่ง สบาย สติอยู่กับพุทโธได้ตลอดเป็นชั่วโมง ระลึกพุทโธได้โดยไม่อึดอัดเลยเจ้าค่ะ อันนี้เกิดจากอะไรเจ้าคะ” 

อันนี้ไม่ต้องตอบ ถ้ามันสำเร็จแล้วไม่ต้องตอบ คนเราทำงานเสร็จแล้วก็ไม่ต้องตอบ ไอ้คนที่เขาถาม เขาถาม เขาทำงานไม่เสร็จ ทำงานไม่ได้ แต่ถ้ามันทำงานได้ ทำงานแล้วประสบความสำเร็จเพราะอะไร เพราะพุทโธๆๆ เวลาพุทโธ เห็นไหม เราพูดบ่อยมาก เวลาพุทโธทีแรกพุทโธแล้วมันอึดอัดขัดข้องไปหมดล่ะ ถ้าพุทโธเราชำนาญแล้ว พุทโธกับจิตเข้ากัน เห็นไหม กลมกล่อมมันเข้ากันได้ มันก็จะปลอดโปร่งอย่างนี้ 

แล้วถ้าพุทโธไป พุทโธไปเพราะอะไร เพราะคำว่าพุทโธๆของเรามันเป็นคำบริกรรม พุทโธๆ เรา เห็นไหม มันเป็นวิตก วิจาร องค์ของสมาธิ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์ ถ้าเราไม่นึกพุทโธๆ พุทโธเราไม่มีเลย พุทโธเกิดจากเรานึกขึ้น จิตนี้เป็นคนนึกขึ้นมันถึงมีพุทโธ จิตคนที่ไม่คิดถึงพุทโธ มันก็ไม่มีพุทโธ ทั้งๆ ที่ตัวมันเป็นพุทธะนะแต่มันไม่ได้นึกถึง ถ้าเราระลึกขึ้น พุท เห็นไหม โธ พุทโธๆ ความระลึกขึ้นคือวิตก วิจารก็พุทโธๆๆ ถ้าพุทโธจนมันคล่องแคล่ว มันกลมกล่อมมันก็ปีติ คำว่าปีติมันสะดวก สบาย มันดีงามไปหมดล่ะ 

ถ้าปีติ เห็นไหม แล้วถ้ามันมีสติปัญญาพุทโธๆ ไปเรื่อย มีปีติ พุทโธๆ ไป พุทโธมันเริ่มละเอียด พุทโธจนพุทโธไม่ได้ สติก็รู้พร้อม สติก็พร้อม ทุกอย่างก็พร้อม แต่มันพุทโธไม่ได้เลย มันละเอียดเข้าไป พุทโธไม่ได้มันจะตกใจแล้วเอ๊ะ! ไม่ใช่เราจะตายหรือ เอ๊ะ! ไม่ใช่จิตมันจะไม่มีหรือทั้งๆ ที่มันมีนะ เวลามันมีหยาบๆ อย่างนี้ เวลามันมีแล้วเวลามันโกรธ เวลามันทุกข์มันยากมันก็มี แต่มันเป็นโทสะ มันเป็นโมหะ แต่เวลาพุทโธๆ มันเข้ากันได้ มันก็มีอยู่นะแต่มันละเอียดขึ้น เวลามันพุทโธไม่ได้มันก็มีอยู่นะ แต่ตกใจ ตัวเราแท้ๆ จิตเราแท้ๆ เราไม่รู้จักจิตมันเองหรอก เวลามันพุทโธจนตัวมันพุทโธไม่ได้ อัปปนาสมาธินั่นถ้าจิตมันรวมใหญ่นะ นี่พูดถึงถ้ามันดี มันจะเป็นแบบนี้ มันเป็นสเต็ปเป็นขั้นตอนของมัน แต่! แต่มันต้องมีสติปัญญาคุมควบคุมดูแลรักษา

จิตของเรา หลวงตาท่านบอกว่า จิตของคนเรียกร้องความช่วยเหลือ คือต้องการให้ทุกคนมาปกป้องดูแลมัน เหมือนพ่อแม่ดูแลลูก จิตของเรามันก็อยากให้คนมาช่วยคุ้มครองดูแล ให้มันสะดวกสบาย ให้มันมีความดีขึ้นมา แต่สิ่งที่จะดูแลได้ก็ศีลธรรมนี่แหละ สิ่งที่สติปัญญาของเราดูแลจิตของเรา ถ้าจิตของเราถ้ามันดูแลได้จนเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก จิตดูจิต ตัวเราเองดูแลตัวเราเองได้ มันจะสะดวกสบายขึ้นมา นี่ข้อที่ .

ทีนี้ข้อที่ . เนื่องจากลูกปฏิบัติภาวนามาโดยบริกรรมพุทโธมานานแล้ว เป็นเวลา ปี แต่ยังไม่เคยมีอาการจิตรวมเลยเจ้าค่ะ ลูกต้องเปลี่ยนคำบริกรรมหรือไม่” 

ไม่! คำบริกรรมมันก็เป็นคำบริกรรม จิตรวมมันอยู่ที่เราปฏิบัติ เราต้มน้ำ เรามีหม้อน้ำตั้งอยู่บนเตาต้มน้ำแล้วน้ำเราไม่เดือด ต้องเปลี่ยนหม้อหรือไม่เจ้าคะต้องเปลี่ยนไหม ไม่ต้อง! เราจะต้มน้ำ เอาน้ำตั้งอยู่บนเตาเวลาถ้าน้ำเราไม่เดือด ต้องเปลี่ยนเตาหรือไม่เจ้าคะก็ไม่ต้อง เตากับเตา เตากับหม้อกับน้ำ มันก็เป็นอันเดียวกันนั่นแหละ เพียงแต่ว่าเราต้มแล้วมันไม่เดือด ถ้าเราเอาหม้อน้ำต้มอยู่บนเตา ถ้าเราดูแลฟืนไฟให้ดี แล้วถ้าถึงอุณหภูมิมันพอ มันเดือดขึ้นมามันก็เตาอันเดิม หม้ออันเดิม น้ำอันเดิมนั่นแหละ 

นี่ก็เหมือนกันต้องเปลี่ยนคำบริกรรมหรือไม่เจ้าคะมันอยู่ที่เราทำไม่ได้ต่างหาก มันไม่ได้อยู่ที่พุทโธ ไม่ได้อยู่ที่คำบริกรรม ถ้าอยู่ที่คำบริกรรมนะ อย่างข้อที่ . ข้อที่ . เห็นไหมเวลาภาวนาไปแล้วมันอึดอัดขัดข้อง มันภาวนาไม่ได้” “ข้อที่ . เวลามันภาวนาได้ขึ้นมาแล้วมันปลอดโปร่งมันสบายนี่ผลของการปฏิบัติ ปฏิบัติดี เห็นไหม 

พวกเราปฏิบัติดี เพื่อความสุขสงบของจิต เราปฏิบัติเพื่อความสุขเพื่อความสงบนะ แล้วถ้าปฏิบัติไปข้างหน้า ถ้ามันพิจารณาเป็น พิจารณาไปได้ มันจะเป็นพระอริยบุคคล เป็นมรรคเป็นผลขึ้นมา สาธุนะ ถ้าใครทำได้สาธุ แล้วทำได้ถ้าคนทำได้เราสาธุ ทำได้ตามข้อเท็จจริง 

แต่ไม่ใช่กระแส กระแสสังคม กระแสเรื่องธุรกิจ กระแสเรื่องเหยื่อมาหลอกกัน เราไม่เห็นด้วย แล้วเราไม่เชื่อ ไม่เชื่อเลย พุทธศาสนาโดยหลักการ โดยแก่นสาร เราเชื่อ ถ้าไม่เชื่อเราไม่มาบวชเป็นพระหรอก เราก็เป็นพระ เราก็เป็นนักปฏิบัติเหมือนกัน แต่ปฏิบัติตามความเป็นจริง ไม่เชื่อกระแสสังคม ไม่เชื่อการยกยอปอปั้น ไม่เชื่อ 

ฉะนั้น เวลาข้อที่ . เวลาถ้าจิตมันจะรวมนะคำว่าจิตไม่เคยรวมใหญ่เลยเราจะบอกว่ามันไม่จำเป็นต้องรวมใหญ่ จิตของคนมันไม่จำเป็นต้องรวม เพียงแต่ผลของมันนะ ขณิก-สมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ เห็นไหม ขณิกสมาธิจิตสงบชั่วคราว จิตสงบเล็กน้อยใช่ไหม ถ้าฝึกหัดๆ เข้านี่ ถ้าจิตสงบเล็กน้อยมันภาษาเราเห็นกายไม่ได้หรอก กำลังมันไม่พอ 

แล้วตอนนี้ฟุตบอลโลกกำลังจะแข่งนะ เราเอาทีวีมาตั้ง แล้วถ้ามันไม่มีไฟฟ้ามา เปิดทีวีได้ไหม ไม่ได้ ถ้าเราเอาทีวีมาตั้งเราจะดูแข่งบอลโลก แล้วถ้าเอาทีวีมาให้เราตั้งไว้นี่เครื่องหนึ่ง แล้วกลับบ้านกันไป เราจะดูอะไรล่ะ เรานั่งดูทีวีไง ดูทีวีแต่ไม่ได้ดูบอลโลก เพราะมันเปิดทีวีไม่ได้ แต่ถ้าเวลามาตั้ง ไฟไม่มีใช่ไหม เราก็พยายามขวนขวายกันมา เอาไฟที่ระบบมันใช้ไม่ได้มาเสียบเข้าทีวี ทีวีพังเลย ก็ไม่ได้ดูบอลโลกอีกล่ะ จะดูบอลโลก เห็นไหม เราต้องมีทีวีใช่ไหม มีไฟฟ้าใช่ไหม ถ้าเราเปิดได้นะ เดี๋ยวเราก็รับบอลโลกได้

อันนี้ก็เหมือนกัน ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ขณิกสมาธิ เห็นไหม มันไม่เสถียร ไฟมันไม่เสถียร ไฟมันไม่มั่นคง มันจะเห็นสติปัฏฐาน ได้โดยยาก แต่ถ้ามันจะเห็น มันเห็นโดยการส้มหล่น เห็นโดยเป็นชั่วครั้งชั่วคราว ไอ้จะปฏิบัติให้มันต่อเนื่องมันเป็นไปได้ยาก เขาก็ต้องทำสมาธิให้มากขึ้น มากขึ้นๆ ไป จากขณิกสมาธิเป็นอุปจารสมาธิ อุปจารสมาธิ สมาธิมีกำลังขึ้น เหมือนไฟมันเสถียรขึ้น ไฟมันมั่นคงขึ้น ถ้าไฟมันเสถียรขึ้น ไฟมันมั่นคง ไฟจนใช้งานได้แล้ว ในประเทศที่เจริญแล้ว พลังงาน เรื่องพลังงานเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะเรื่องพลังงาน สังคมต้องใช้พลังงาน โดยดำรงชีวิตโดยธรรมชาติ แล้วโรงงานอุตสาหกรรม ธุรกิจการค้า เทคโนโลยีต่างๆ ต้องใช้พลังงานโดยทั้งนั้น 

ถ้าพลังงานขึ้นมา เห็นไหม ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ พลังงานอย่างนี้เป็นพลังงานที่ใช้ได้ พลังงานที่สมบูรณ์ที่เป็นประโยชน์ แต่ถ้ามันทำงานไม่ได้คือว่าเขามีพลังงานโดยใช้ประโยชน์ไม่ได้ เขาทำกันได้ แต่เราก็ยังทำกันไม่ได้ เห็นไหม ถ้าทำไม่ได้แล้ว เราไม่มีอำนาจวาสนา เห็นไหม เราก็ทำสมาธิให้มันลึกซึ้งขึ้นไป ถ้าสมาธิให้ลึกซึ้งขึ้นไปจากขณิกสมาธิเป็นอุปจารสมาธิ อุปจารสมาธิก็เป็นอัปปนาสมาธิ ถ้าอัปปนาสมาธิ พลังงานอย่างนี้ เห็นไหม เป็นพลังงานที่ว่า เห็นไหม ดูสิ เขามีแบต แล้วก็ชาร์จใส่แบตไว้ แล้วเอาแบตเก็บไว้ เขาไม่ต่อมาก็ใช้อะไรไม่ได้ 

นี่ก็เหมือนกัน อัปปนาสมาธิเป็นอัปปนาสมาธิที่ใช้งานไม่ได้ ใช้งานไม่ได้ แต่! แต่มันเป็นการเข้าไปถึงฐีติจิต เข้าไปถึงจิตเดิมแท้ของตนว่าตนมันมีสิ่งใด มันมีเวรมีกรรมอะไรในหัวใจนั้น มันก็จะไปขุดคุ้ยขึ้นมา แล้วมันคลายออกมาแล้วถ้ามันพิจารณาของมัน มันจะเห็นสติปัฏฐาน ตามความเป็นจริง นี่พูดถึงพูดถึงขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ พลังงานที่มันเสถียร พลังงานที่ไม่เสถียร พลังงานที่เก็บไว้ เห็นไหม พลังงานที่เก็บ เก็บไว้ เก็บสำรองไว้มันเอามาใช้ไม่ได้ เพราะ มันไม่มีสายส่งที่เอาออกมาใช้ มันมีของมันเป็นชั้นเป็นตอน นี่คนภาวนาเป็นมันจะรู้ของมันอย่างนี้ 

ฉะนั้น รู้ของมันอย่างนี้ปั๊บ เห็นไหม ถ้ามันแบบว่าจะเข้าสู่ไม่เคยจิตรวมเลยทำไมเราเป็นอุปจารสมาธิ เราเพื่อกำลัง เรายังทำเพื่อประโยชน์เลย แล้วทำไมจะต้องเอาพลังงานไปเก็บไว้ล่ะ ทำไมต้องทำพลังงานแล้วแบตพิเศษเก็บไว้ได้ตลอดกาล อัปปนาสมาธิ ต้องทำอย่างนั้นด้วยเหรอ เราจะบอกว่า หลวงตาท่านพูดไง ผู้ปฏิบัติจิตรวมนี่นะที่ทำได้น้อยมาก ส่วนใหญ่แล้วทำไม่ได้ด้วย อัปปนาสมาธิเนี่ย แต่ผู้ที่ทำได้จะรู้ว่าทำได้อย่างไร แล้วผู้ที่ทำอัปปนาสมาธิได้ แล้วถ้าไม่เกิดปัญญาทำอะไรไม่เป็น มันก็ไม่เป็นมรรคขึ้นมา พอไม่เป็นมรรคขึ้นมามันต้องสมดุลของมันนะ ศีล สมาธิ ปัญญา นี่พูดถึงนี่ขั้นจิตรวมๆ จิตรวมมันมีหลากหลาย 

จิตรวม เห็นไหม ครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติท่านจะเข้าใจเรื่องอย่างนี้ ฉะนั้น เราปฏิบัติกันถ้าเราไม่มีความสามารถ เห็นไหม พลังงานชาติที่เจริญแล้ว พลังงานสิ่งผลิตสิ่งจำเป็นของเขา ไอ้พวกชาติที่ยังไม่เจริญ ด้อยพัฒนา พลังงานของเขาก็ใช้แสงสว่าง ใช้แค่ดำรงชีพ เขาไม่ได้ใช้เพื่ออุตสาหกรรม เขาก็ดูว่ามันไม่จำเป็น นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เป็นอัปปนาสมาธิๆ คนที่ยังไม่มีความจำเป็นเขาไม่เห็นคุณค่ามันหรอก แล้วมันประสาเราว่ามันไม่จำเป็นต้องจิตรวม นี่เขาก็บอกว่าจิตเขาไม่เคยรวมเลยแล้วเราจะรวมทำไม ประสาเราจะรวมทำไม แค่ให้เราเป็นสมาธิแล้วเรามีกำลังของเราขึ้นมา ถ้ามีสมาธิแล้วก็ฝึกหัดใช้ปัญญาไป ถ้าฝึกหัดใช้ปัญญาได้มันก็ยกขึ้นสู่วิปัสสนา 

วิปัสสนามันก็เป็นปัญญารู้แจ้งในพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนภาวนามยปัญญา ภาวนามยปัญญาจากพลังงาน พลังงานที่เสถียร พลังงานที่ใช้ประโยชน์ได้เป็นอุป-จารสมาธิ อุปจารสมาธิไม่ใช่อัปปนาสมาธิ ไม่ใช่จิตรวม จิตรวมจิตเก็บไว้ในแบตใช้ไม่ได้ ยกเว้นแต่ต้องไปทำหนังสือขออนุญาตจากเจ้าของเขา แล้วต้องเอาแบตนั้นออกมา แล้วต้องเอาเข้าสู่สายส่งมันถึงจะใช้ได้นั่นคือจิตรวม 

แต่! แต่จิตรวม จิตรวมที่ครูบาอาจารย์ที่จิตท่านรวมแล้ว ท่านจะไปรู้ส่วนนี้ ส่วนนั้น นั่นมันจิตรวมแล้ว รวมแล้วด้วยวาสนา ไอ้นี่เป็นเรื่องขั้นของสมาธิ มันไม่ใช่ขั้นของมรรค ขั้นของมรรค อยู่ในมรรค มันเป็นมรรคเป็นผล คำว่าเป็นมรรคเป็นผลจิตสงบแล้วถ้าออกมาเป็นมรรค เห็นไหม ถ้าแล้วออกมาเป็นมรรค ศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญาเกิดจากสมาธิ ปัญญาเกิดในสติปัฏฐาน อันนี้เป็นมรรค 

แต่ถ้าจิตรวม จิตรวมแบบฌาน จิตรวมแบบฌานพอจิตมันรวมลงไปแล้ว มันก็เข้าไปอยู่อย่างที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้าบุพเพนิวาสานุสติญาณ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้าปฐมยามเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำว่ายังไม่ได้ตรัสรู้คือจิตใจยังมีกิเลสอยู่ไง จิตยังมีอวิชชา จิตใจคือมีกิเลสคือยังไม่รู้แจ้งในใจของตน ถ้ายังไม่รู้แจ้งในใจของตน เวลาจิตใจมันรวมลงแล้ว ปฐมยามได้วิชชาอันดับหนึ่ง วิชชา บุพเพนิวาสา-นุสติญาณ ญาณรู้อดีตชาติ ถ้าจิตรวมอย่างนี้จิตรวมแบบโลก จิตรวมแบบฌาน เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันก็รู้อย่างนั้น

ทีนี้พวกเราเนี่ยผู้ที่ปฏิบัติ เห็นไหม เราก็เป็นปุถุชนใช่ไหม เราก็มีอวิชชาใช่ไหม เราก็ไม่รู้อะไรเลย พอจิตรวมลงๆ มันก็ไปรู้ข้อมูลเดิม ข้อมูลที่ว่ามันมีสิ่งใดในหัวใจ มีสิ่งใดเรื่องภพเรื่องชาติ แต่มันไม่ใช่มรรค เพราะมรรคเขาต้องเห็นสติปัฏฐาน แล้วเอามาพิจารณา เอากายมาพิจารณา เพราะสักกายทิฏฐิ เรายึดว่ากายเป็นของเราโดยที่เราไม่รู้ตัว ถ้ารู้ตัวเราศึกษาธรรมะแล้วเรารู้ว่ามันไม่ใช่ ศึกษาธรรมะพูดได้ปากเปียกปากแฉะเลย แต่กิเลสมันไม่รับรู้กับเราหรอก กิเลสบอกของกู ของกู มึงบอกไม่ใช่ก็เรื่องของมึง แต่มึงอยู่ในอำนาจกู กูพามึงเกิด แก่ เจ็บ ตาย โดยที่มึงยังไม่รู้ตัว พวกมึงไม่รู้หรอก เพราะจิตมึงไม่เห็นจริง 

นี่คือมรรค แต่ถ้ามันจิตรวม จิตรวม จิตรวมแบบวิชชา ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ยกเป็น ประเด็น ประเด็น . เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้าไปสู่บุพเพ-นิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ แล้วก็เกิดอาสวักขยญาณ คือสำเร็จ คือชำระล้างกิเลสอวิชชาในใจขององค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นศาสดาของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตนเลย เป็นศาสดาที่ยอดเยี่ยมมากเลย

แล้วเวลาจิตอย่างนี้ เวลาท่านมาอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ลูกหา อนาคตังสญาณ ท่านก็ใช้บุพเพนิวาสานุสติญาณอันนี้ แต่ท่านจนตัวจิตมันพ้นอวิชชา มันยิ่งสะอาด มันยิ่งรอบคอบ มันยิ่งเป็นประโยชน์ เป็นเครื่องมือในการดักหน้าดักหลังกิเลสตัณหาความทะยานอยากของลูกศิษย์ลูกหา ของผู้ที่มีเวรมีกรรม ที่มีเวรมีกรรมชักนำไป ท่านพุทธกิจ ด้วยกิจของพระพุทธเจ้าที่ชำระล้างที่เวลากำหนดแล้วพระโมคคัลลานะเวลาปฏิบัติอยู่กำลังสัปหงกโงกง่วง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาด้วยฤทธิ์เลย นี่ไปสอน สอนในปัจจุบันนั้นเลย นี่ไงไปด้วยฤทธิ์ๆ ไง จะไปด้วยฤทธิ์อย่างนี้ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 

เราจะบอกว่า ก่อนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้นั้นมันเป็นเรื่องโลก แต่ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ไปแล้วนั้นเป็นเรื่องธรรม เป็นเรื่องสัจธรรมทั้งหมดเลย แล้วไม่มีกิเลสด้วย ฉะนั้น เวลาพวกเรา พวกเรา เห็นไหม พวกเราหมายความว่าเราเริ่มปฏิบัติใหม่ กิเลสท่วมหัวทุกคนล่ะ กิเลสท่วมหัวทั้งนั้น ถ้ากิเลสท่วมหัวขึ้นมา เวลามันเข้ามาถึงบอกคำว่าจิตรวมๆเราถึงได้ใช้คำว่าถ้าจิตรวมของพวกเราเพราะจิตรวมก็คือสมาธิ แต่กิเลสเรายังมีอยู่ใช่ไหม มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งไง แต่ถ้าจิตรวมในมรรคมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งไง ในมรรคนะ ในมรรค คือ การใช้สติปัญญาใคร่ครวญกิเลสตัณหาความทะยานอยาก นั้นเป็นเรื่องมรรคนะ แต่ถ้าจิตรวม จิตรวมแบบสมาธินั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ 

นี่ภาวนาไม่เป็นมันก็มีปัญหาเล็กน้อยตรงนี้ ฉะนั้น เพราะเขาใช้คำว่าจิตหนูยังไม่เคยรวมเลยที่เราพูดนี่นะ เราจะบอกว่า มันไม่ต้องไปตั้งเป้าไปที่จิตรวมหรอก เราภาวนาพุทโธๆ จิตสงบแล้วฝึกหัดใช้ปัญญานี่ แค่ที่เราภาวนานี่ เราอยากจะบอกเราถึงพูดไง ว่าที่เราภาวนากันมันไม่ได้บุญกุศลกันเลยหรือ เราภาวนากันนี่ไม่มีใครให้เป็นโสดาบันเลย ไม่มีใครให้มรรคให้ผลกันเลย 

ไอ้พวกกระแสสังคมเฉียดเข้าไปก็โสดาบัน เดินผ่านมันก็สกิทาคา ไปนั่งอยู่ด้วยเป็นอนาคาเลยนะ เฮ้ย! มรรคผลมันได้ง่ายขนาดนั้นเชียวเหรอ ภาษาเรานะ ถ้าเรายังปฏิบัติใหม่ๆ นะ ถ้ากูโง่ๆ กูจะไปอยู่กับมึงเนี่ย กูก็อยากได้มรรคผลอย่างที่มึงให้ แต่เดี๋ยวนี้มันฉลาดแล้ว ไม่ไปหรอก ให้ก็ไม่เอา ใครให้ก็ไม่เอา จะทำเอง ใครให้ก็ไม่เอา เพราะให้กันไม่ได้ เขาก็ให้ไม่ได้ เราก็รับไม่ได้ เราจะได้ต่อเมื่อเราประพฤติปฏิบัติเอาเอง เขาให้มาแล้วเราจะรับมาว่าเป็นของเรา ไม่ได้! ไม่มี! มีใครให้แล้วเรารับได้ไม่มีหรอก 

ถ้ามีให้ได้แล้วรับได้นะโลกนี้จะไม่มีคนชั่วเลย เพราะมีผู้ที่อยากจะให้ทุกๆ คนเป็นคนดีหมด เพราะมีคนอยากจะให้พวกเราได้มรรคได้ผลกันหมด ใครบ้างไม่มีเมตตา อยากให้ทุกคนได้มรรคได้ผล ถ้าให้กันได้โลกนี้จะไม่มีคนชั่วเลย กูจะบังคับให้เป็นคนดีหมดเลย กูจะบังคับให้เป็นโสดาบันหมดเลย กูให้โสดาบันหมดเลย มันเป็นไปไม่ได้ ไม่มีหรอก ฉะนั้น ไม่มีหรอก เราไม่ต้องไปคิดมาก เราพยายามทำของเรา ทำเอง ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก ผู้ที่ปฏิบัติ ปฏิบัติชอบนะ ปฏิบัติชอบธรรมสมควรแก่ธรรม มันจะได้สัจจะได้ความจริงของมันเอง

ฉะนั้น คำว่าจิตรวมอย่าเอามาตกค้างในใจว่าจะต้องทำให้จิตรวม จิตรวมนะ ถ้ามันเป็นไปได้ ถ้ามันมีอำนาจวาสนา มันก็จะรวมของเราได้ เราจะบอกว่า เวลาภาวนา ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ถ้าเหตุผลมันสมบูรณ์แล้วมันต้องได้เด็ดขาด มันอยู่ที่เหตุ เราสร้างเหตุพอหรือไม่ เรามีสติมีปัญญาพอหรือไม่ เรามีสติมีปัญญาพอ เราสามารถทำงานทุกอย่างได้ทั้งนั้น 

เพราะสติเพราะปัญญาเราไม่พอ แล้วเราอยากได้โดยจินตนาการ โดยการคาดหมาย มันก็เลยเป็นเหยื่อของผู้ที่แสวงหาผลประโยชน์กันอยู่ตอนนี้ แต่ธรรมะขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มี มีแต่การประพฤติปฏิบัติเอาตามความเป็นจริง ใครที่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ใครที่ปฏิบัติได้โดยที่มีครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมคอยชี้ คอยแนะ คอยบอก ครูบาอาจารย์คอยชี้ คอยแนะ คอยบอก เพราะท่านต้องสมบุกสมบันมา ท่านได้ต่อสู้กับมันมา ท่านถึงรู้เล่ห์เหลี่ยมของมัน ไอ้พวกเราไม่รู้หรอก กิเลสเป็นธรรมทั้งนั้น ชอบใจก็เป็นธรรม ไม่ชอบใจไม่ใช่ โดนกิเลสมันบีบคั้นตลอดเวลา 

นี่พูดถึงจิตรวมนะ เราจะบอกว่าไม่จำเป็นต้องให้จิตรวมหรอก ทำความสงบของใจเข้ามา ใจสงบระงับแล้วฝึกหัดใช้ปัญญาเราไป ถ้าใช้ได้มันปลอดโปร่งก็ใช้ได้ ถ้าใช้ไม่ได้ก็กลับมาทำความสงบใหม่ แล้วทำต่อเนื่องไปๆ แล้วถ้ามันจะรวมนะมันใช้ศีล สมาธิ ปัญญานะ รวมโดยมรรคนะ โอ้โฮ! เวลามันรวมนะ ถ้ารวมคือกิเลสขาด แต่ถ้ารวมในสมาธิเรื่องหนึ่ง แต่ถ้ารวมในมรรคเวลามันสมดุลของมัน สมุจเฉทขาดผลัวะ โอ้โฮ! โลกนี้ว่างหมด ไม่มีสิ่งใดเลย 

โมฆราช เธอจงมองดูโลกนี้เป็นความว่าง แล้วกลับมาถอนอัตตานุทิฏฐิ ทิฏฐิตัวเองที่รู้ว่าว่างนั่นน่ะแม้แต่รู้ว่าว่างยังไม่ใช่เลย มันว่างหมดแล้ว แต่เพราะเราไปยืนขวางอยู่ เพราะเราไปเห็นว่าง เราต้องกลับมาถอนตัวตนของเราอีกครั้งหนึ่ง 

ว่าง ไอ้นู่นก็ว่าง อันนี้ก็ไม่รู้ไม่ชี้ อันนี้ก็หมดเลย อูย! อันนั้นว่าง กูเก่ง กูแน่ กูเห็นว่าว่าง เกม อันนู้นก็ว่าง อันนี้ก็ถอนทิฏฐิของตนซะ ว่างก็ไม่ใช่วิเศษกว่าใครหรอก ว่างก็ไม่อยู่เหนืออำนาจใครหรอก นี่ไง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้าท่านมีประโยชน์ ประโยชน์อย่างนั้น นี่พูดถึงว่าข้อที่

. การภาวนามา ปี คือบริกรรมพุทโธในใจ พุทโธๆ ช่วงไหนเวลาภาวนาไม่ได้ก็จะเปิดเทศน์หลวงพ่อฟัง แล้วคอยบริกรรมพุทโธต่อเนื่องไปจนเป็นหนึ่งชั่วโมง สองชั่วโมง คอยปฏิบัติอย่างนี้เจ้าค่ะ” 

อันนี้คือการรักษาตัวรอด เราพยายามรักษาตัวเรานะ รักษาตัวเราให้รอด ถ้ารักษาตัวเราให้รอด ในการปฏิบัติ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก พวกเราที่นักปฏิบัติที่ปฏิบัติแล้วไม่ได้ผล เพราะขาดการปฏิบัติต่อเนื่อง การปฏิบัติสม่ำเสมอนี่ วันนี้เก่ง ภาวนาทั้งวันเลย พรุ่งนี้ขี้เกียจก็นอนทั้งวันเหมือนกัน ปีนี้ภาวนาดี ปีหน้าก็เลิก พอเลิกไปแล้วทุกข์กลับมาภาวนาใหม่ การปฏิบัติต่อเนื่องมันไม่มี

คนที่ปฏิบัตินะ อยู่ในพระวินัยปิฎกทุกข้อเลย วินัยไปเปิดดูได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติวินัยเพื่อข่มขี่ไอ้คนหน้าด้าน ไอ้พวกหน้าด้านหน้าทนที่เข้ามาตอแหลในพระพุทธศาสนา ต้องบัญญัติวินัยไว้ข่มไว้กดขี่ไอ้พวกหน้าด้าน คนไหนคนดีต้องส่งเสริมมัน คนที่มีสัจจะมีความดี ส่งเสริมในการปฏิบัติ พยายามขวนขวายส่งเสริมให้เขาทำดี วินัยนี้บัญญัติไว้เพื่อคนที่ยังไม่ศรัทธาให้ศรัทธา คนที่ศรัทธาแล้วให้ศรัทธามากขึ้น วินัยนี้บัญญัติไว้ บัญญัติไว้เพื่อการประพฤติปฏิบัติไง

ผู้ที่ปฏิบัติไม่ได้ผล ไม่ได้ผลเพราะการปฏิบัติขาดความสม่ำเสมอ ในพระไตรปิฎกใช้คำนี้ ใช้คำว่าไม่ปฏิบัติสม่ำเสมอแต่ถ้าประสาเราก็เราปฏิบัติไม่ต่อเนื่อง ไม่ปฏิบัติสม่ำเสมอ นี่ภาษาบาลีแปลมาเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าเป็นภาษาเราคือการปฏิบัติไฟไหม้ฟาง เดี๋ยวก็ฮึดมาทีหนึ่ง แล้วก็เลิกไป ปี แล้วกลับมาปฏิบัติใหม่ ปฏิบัติจนตรอกก็เลิก เลิกแล้วกลับ... นี่การปฏิบัติที่ไม่ได้ผล ถ้าเราปฏิบัติได้ผล อย่างถามมา เห็นไหม ผู้ถามบอกทำมา ปีแล้ว ถ้าทำมา ปี ปีแล้วก็พยายามทำของเรา ทำเพื่อประโยชน์กับเรา 

เราจะบอกว่า ทำแล้วมันได้ประโยชน์นะ สัตว์ประเสริฐ จิตสงบ เป็นผู้มีสติปัญญา คิดใคร่ครวญในสิ่งที่ดีงาม ความดีมันดีตรงนี้ คนเราดีดีที่คุณงามความดี ไม่ใช่ดีที่คนสรรเสริญ ไม่ใช่ดีดีที่ผู้มีอิทธิพล ดีเพราะคนรอบข้างไม่ใช่ ดีเพราะจิตเขาดี ดีเพราะคุณงามความดีในใจของเขา ฉะนั้น เราทำความดีเพื่อเรามันเป็นความดีของเรา ฉะนั้น ทำความดีเพื่อความสุขสงบในใจของเรา นี้คือผลประโยชน์ของเรา สมบูรณ์แล้ว

อย่าไปเสียใจว่า ๑๐ ปี ๒๐ ปีไม่เห็นได้อะไร ได้ นี่เขาเขียนมายาว เราก็ตอบมา ตอบเพราะว่าป้องกันพวกปฏิบัติ เพราะเราซึ้งคำของท่านเจ้าคุณจูม ธรรมเจดีย์ ท่านบอกว่า ท่านเป็นเจ้าคณะภาค ท่านเป็นเพื่อคอยคุ้มครองดูแล ไม่ให้คนมารังแกกรรมฐาน จริงๆ แล้วเราไม่อยากเป็นหรอก แต่ที่เราเป็น เราเป็นเพราะว่าไม่ให้คนมารังแกกรรมฐาน ให้พวกที่ปฏิบัติหลับหูหลับตาในป่านี่ ส่วนใหญ่แล้วจะมีคนแกล้ง คนรังแก” 

อันนี้ก็เหมือนกัน ผู้ที่ปฏิบัติมา ๑๐ ปี ๒๐ ปี แล้วไม่ได้อะไร คนนู้นก็มายุ คนนี้ก็มาแหย่ เห็นไหม ทำแล้วก็ไม่ได้ คนนู้นก็ไม่ได้ แล้วถ้ามึงมาเป็นเหยื่อกูนี่ได้ มาเป็นเหยื่อกูนี่ได้ แล้วพอมาเป็นเหยื่อกูแล้วนะ เดี๋ยวกูให้โสดาบัน เดี๋ยวกูให้เลย ให้โสดาบัน ให้สกิทา ให้อนาคา ให้เลย เป็นเรานะให้อย่างไรกูก็ไม่เอา ไอ้หน้าโง่ เขาให้ยศถาบรรดาศักดิ์ก็คิดว่าใช่ เขาให้มรรคให้ผลก็คิดว่าใช่ ไอ้พวกหน้าโง่ กูไม่ใช่พวกหน้าโง่ กูไม่เอา เอวัง